ทำความเข้าใจกับ SSF ทางเลือกสำหรับ การออมเงินระยะยาว ที่แตกต่างจาก RMF โดยสิ้นเชิง ซึ่งการจะซื้อลงทุนรูปแบบนี้ มีเงื่อนไขอะไรบ้าง จะเป็นการลงทุนระยะยาวแค่ไหน และเหมาะกับใครบ้าง ทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับกองทุน SSF มาหาคำตอบได้ในบทความนี้
คำว่า SSF ย่อมาจากคำว่า “Super Savings Fund” เป็นกองทุน เพื่อการออมเงินระยะยาว กล่าวคือ กองทุน SSF เป็นกองทุนรวมเพื่อการออม ซึ่งกองทุนตัวนี้ จัดตั้งขึ้นเพื่อมาทดแทน กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่เรียกกันว่า LTF (Long Term Equity Fund) ตามความต้องการของประชาชน
โดยมีนโยบาย เปิดโอกาสให้ร่วมลงทุนในสินทรัพย์ ได้ทุกประเภท ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิเช่น หุ้น, ตราสารหนี้, กองทุนดัชนี, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ [1]
ซึ่งก็แยกการจ่ายปันผลออกเป็นอีก 2 รูปแบบ ได้แก่ “จ่ายปันผล” และ “ไม่จ่ายปันผล” โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกการจ่ายปันผล ได้ตามความเหมาะสม
ที่มา: SSF & RMF คู่หูกองทุนประหยัดภาษี [2]
ถึงกองทุนออมเงินตัวนี้ จะเหมาะกับกลุ่มประชาชน ที่มีรายได้ขั้นปานกลาง ไปถึงผู้ที่มีรายได้น้อย แต่ต้องการเก็บเงิน ในการลงทุนระยะยาว และยังได้รับสิทธิใช้ในการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย แต่การลงทุนก็จะมีการปันผล ดังนั้นควรเลือกรูปแบบการปันผลแบบไหน ถึงจะดีที่สุด
คำแนะนำ สำหรับการเลือกรับเงินปันผล หากผู้ลงทุนไม่จำเป็น ที่จะต้องใช้เงินจำนวนนั้น แนะนำให้เลือกการลงทุน แบบไม่มีปันผล เพราะเมื่อลงทุนเก็บเงินแล้ว หากเลือกรูปแบบรับเงินปันผล โดยเงินที่ได้นั้น ก็อาจจะถูกเก็บภาษีเพิ่มนั้นเอง
โดยสามารถธิบายการรับเงินปันผลทั้ง 2 แบบ ได้ดังนี้
1. การลงทุนในรูปแบบที่มีปัน คือ ผลหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% (Final Tax) และไม่นำส่วนที่หักไปยื่นขอลดหย่อนภาษี เหมาะสำหรับผู้ที่มีฐานภาษีมากกว่า 10% เพราะหากนำไปยื่น อาจจะโดนจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น
2. การลงทุนในรูปแบบที่ไม่มีปันผล คือ หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% จากนั้นนำเงินปันผลมารวมเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (เงินได้จากการขายของออนไลน์, กำไรจากการขาย LTF/RMF, ปันผลจากกองทุน REIT) เพื่อไปยื่นเสียภาษี เหมาะสำหรับผู้ที่มีฐานภาษีน้อยกว่า 10% เพราะสามารถนำไปขอยื่น และมีโอกาสได้คืนภาษี
ในการลงทุนระยะยาว ระดับ 10 ปี แน่นอนว่าก็ต้องมองถึง การเติบโตเป็นหลัก โดนสิ่งที่น่าลงทุนคงหนีไม่พ้น การลงทุน SSF ในรูปแบบของหุ้นต่างๆ โดยสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่รู้ว่าต้องลงกับหุ้นตัวไหน แล้วมีหวังได้ผลตอบแทนคุ้น วันนี้เราคัดมาให้แล้วกับ 3 หุ้นที่มีโอกาส Growth ในระยะยาว ดังต่อไปนี้
กองทุนหุ้นนอกประเทศ ที่บริหารโดย Baillie Gifford Asset Management ผ่านกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund ที่มีนโยบาย ลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก ซึ่งล้วนเป็นเจ้าของแบรนด์ หรือสิ่งที่ส่งผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) ต่อสังคมโดยรวม หรือสนับสนุน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ
ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6
จุดเด่น
ลงทุนขั้นต่ำ : การลงทุนทุกครั้งเริ่มขั้นต่ำที่ 500 บาท
ค่าธรรมเนียมหุ้น : ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee) ได้รับการยกเว้น และค่าใช้จ่ายกองทุนรวม อยู่ที่ 1.3736%
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 4,797,091,481.91 บาท
ที่มา: K-CHANGE-SSF [3]
เป็นรูปแบบการลงทุน ในหุ้นสามัญทั่วโลก ของบริษัทที่มีส่วนร่วม กับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และเศรษฐกิจระหว่างประเทศของโลก แห่งอนาคต
ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6
จุดเด่น
ลงทุนขั้นต่ำ : การลงทุนทุกครั้งเริ่มขั้นต่ำที่ 100 บาท
ค่าธรรมเนียมหุ้น : ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee) ได้รับการยกเว้น และค่าใช้จ่ายกองทุนรวม อยู่ที่ 1.7530%
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 132,176,254.64 บาท
ที่มา: KKP GNP-H-SSF [4]
เป็นกองทุนหุ้น ที่เน้นการลงทุนในหุ้น บริษัทดัง หรือเจ้าของแบรนด์บิ๊กๆ ทั่วโลก โดยกระจายการลงทุนในหุ้น 10 ตัว สัดส่วนเท่ากัน
ระดับความเสี่ยง : ระดับ 6
จุดเด่น
ลงทุนขั้นต่ำ : การลงทุนชครั้งเริ่มขั้นต่ำที่ 1,000 บาท และครั้งต่อๆ ไป เริ่มต้นที่ 1 บาท
ค่าธรรมเนียมหุ้น : ค่าธรรมเนียมการขาย (Front-end Fee) และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน (Back-end Fee) ได้รับการยกเว้น และค่าใช้จ่ายกองทุนรวม อยู่ที่ 1.7120%
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ : 114,741,215.37 บาท
ที่มา: MEGA10-SSF [5]
สำหรับการลงทุนรูปแบบ SSF ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี ในการลงทุน สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลามาก ในการหาข้อมูลในการลงทุน ลองหันมองโอกาสในการออม การลงทุน ระยะยาว 10 ปี แถมยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ในกองเดียว โดยต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งผู้ที่จะลงทุน ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้