เหรียญ เจอมินี่ (Gemini Dollar) ไม่ใช่เหรียญที่เกี่ยวข้องกับ AI จากกูเกิ้ลแต่อย่างใด แต่เป็นคริปโตจาก เหรียญกลุ่ม สเตเบิ้ล ที่ใช้เงินดอลลาร์ฝากเข้าไปเพื่อเป็นหลักประกันในการออกเหรียญนี้ขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์เดียวกันกับเหรียญในกลุ่ม ที่จะเป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างการเงินแบบเดิม กับอุตสาหกรรมคริปโตให้มีการเชื่อมต่อที่รวดเร็วมากขึ้น
บริษัทของเหรียญนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2014 โดยเหรียญสเตเบิ้ลคอยน์นี้ก็พัฒนาสำเร็จ และเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายนปี 2018 จากผู้สร้าง Gemini Dollar อย่าง Tyler Winklevoss และ Cameron Winklevoss โดยทั้งคู่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขาเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ
ที่มา: เกี่ยวกับ Gemini Dollar [1]
ในการดำเนินการต่างๆ ของโทเคนนี้ ก็ทำงานบนระบบของเครือข่าย Ethereum ในฐานะเหรียญ ERC-20 ซึ่งหน้าที่หลักของเหรียญก็คือการรักษามูลค่าของเหรียญนี้ให้อยู่ที่ 1 ดอลลาร์เสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป มันจึงมีลักษณะเด่นที่ไม่มีความผันผวนสูงเท่ากับเหรียญอื่น แต่กลับมีความมั่นคงอยู่เท่าเดิมตลอดเวลา โดยก็จะมีระบบการจัดการอื่นรวมอยู่ด้วย
หนึ่งในนั้นก็จะเป็นการตรวจสอบจำนวนเหรียญและเงินดอลลาร์ในระบบที่ต้องเท่ากันเสมอ เนื่องจากการนำเหรียญมาค้ำไว้ ผู้ใช้ก็จะต้องใช้เงินดอลลาร์เข้ามาแลกได้ ในการแลกเปลี่ยนคืนเป็นเงินก็ตั้งมั่นใจได้ว่าบริษัทนี้จะมีเงินในระบบพร้อมคืนเสมอ ไม่ได้นำไปหมุนทำอย่างอื่นเหรียญนี้จะต้องมีการตรวจสอบ และแจ้งรายการบัญชีของตัวเองตลอดเวลานั่นเอง [1]
แพลตฟอร์มของบริษัทที่ผลิตเหรียญนี้ โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Gemini Trust Company โดยเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยให้ผู้ที่ต้องการเก็บคริปโตต่างๆ ออกไปซื้อ หรือขายได้อย่างง่ายๆ แถมยังมีเหรียญในโลก DeFi โปรเจกต์ต่างๆ มากมายรวมไปถึง NFT ด้วย พร้อมให้บริการกับผู้ใช้งานทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา และในประเทศอื่นๆ กว่า 60 ประเทศทั่วโลก
ที่มา: Gemini Crypto Exchange คืออะไร ทำไมเราต้องรู้จัก? [2]
ในส่วนของข้อมูลด้านราคาจากลักษณะเด่นของ Stablecoin ราคาของมันจึงพยายามอยู่ที่ 1 ดอลลาร์เสมอ ซึ่งใน 24 ชั่วโมงราคาก็อาจจะคลาดเคลื่อนไปที่ 0.9 – 1.1 บ้าง แต่ก็จะกลับมาอยู่หนึ่งดอลลาร์เสมอ โดยเหรียญนี้ในส่วนของมูลค่าก็อยู่ที่อันดับที่ 312 ของโลก พร้อมรายละเอียดน่าสนใจดังนี้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ coinmarketcap
โดยนอกจากจะเป็นบริษัทที่เปิดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตแล้ว ทางบริษัทก็ขยายโอกาสการเติบโตในโลกการเงินแบบเดิม โดยดีลสำเร็จกับ Mastercard ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตชั้นนำของโลก โดยจับมือกันเปิดตัวบัตรเครดิต “Gemini” ที่จะจ่ายเงินในสินค้าและบริการต่างๆ ได้ก่อนและชำระเงินได้ด้วย เหรียญเจอมินี่ แถมให้เงินคืนสูงสุด 3% ของยอดใช้จ่าย
บัตรนี้ยังให้ผู้ใช้สามารถเลือกรับคริปโตต่างๆ ได้เองกว่า 30 ชนิดที่มีในแพลตฟอร์ม และรับคืนได้เหมือน cash back แต่เป็นรูปแบบ crypto back แทน โดยปัจจุบันมีผู้ลงชื่อสนใจใน waitlist กว่า 150,000 คน และเปิดให้ใช้งานได้ 50 รัฐทั่วสหรัฐอเมริกาภายในช่วงฤดูร้อนของปี 2021 ซึ่งก็เริ่มพัฒนาเพิ่มเติมและมีผู้ใช้มากขึ้น [3]
อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่มีอัตราการแลกเปลี่ยน crypto ที่ใหญ่มากในปัจจุบัน ถึงในด้านของความนิยม และความหลากหลายจะยังไม่เท่าทางไบแนนซ์ แต่ทางผู้บริหารที่พัฒนาก็ออกมากล่าวว่า แพลตฟอร์มนี้จะสามารถแซงหน้าแทนที่ Binance ที่มีอัตราการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน โดยระบุว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่เล่นในเกมยาว และจะเป็น “เต่าที่เร็วที่สุดในการแข่งขัน เกมยาวครั้งนี้จะทำให้คว้าชัย”
ซึ่งความคิดนี้ก็เกิดขึ้นหลังจากที่แฟลตฟอร์ม Binance ที่กำลังเผชิญกับมรสุมด้านกฎระเบียบจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของอังกฤษที่ประกาศว่าแพลตฟอร์มนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการในประเทศ ขณะเดียวกันที่อเมริกา Internal Revenue Service ก็ยังดำเนินการตรวจสอบไบแนนซ์อย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งผ่านมา 3 ปีแล้วไบแนนซ์ก็ยังสามารถไปต่อได้ พร้อมเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กัน [4]
อีกหนึ่งเหรียญสเตเบิ้ลคอยน์ที่รักษามูลค่าได้ด้วยการใช้ดอลลาร์มาค้ำมูลค่าไว้ แถมยังมีการสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนขึ้นมาเป็นของตนเอง และใช้เหรียญเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ถึงจะยังไม่สามารถแซงอีกแพลตฟอร์มได้ แต่ก็ถือว่ามีเหรียญที่หลากหลาย และมีความน่าสนใจไม่น้อย