เหรียญ สแต็ค โทเคนที่มาเพื่ออัปเกรดความสามารถของ BTC

เหรียญ สแต็ค

เหรียญ สแต็ค (Stacks) เครือข่ายหรือ เหรียญกลุ่ม DeFi ที่สร้างมาเพื่อใช้งานตัวบิตคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ แต่ไม่มีการเปลี่ยนโครงสร้างเดิม ด้วยการใช้ระบบสมาร์ตคอนแทกต์ทำงานได้ แถมยังสร้าง Dapps ต่างๆ มาใช้กับบิตคอยน์ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติใดๆ ออกไป ซึ่งก็เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมจนอยู่ในอันดับ 30 ของโลก

ประวัติ Stacks ที่กำเนิดจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก

โดยเชนนี้เริ่มต้นขึ้นมาจากการเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ของ Muneed Ali ซึ่งเป็นการออกแบบเกี่ยวกับการระบบอินเทอร์เน็ตที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายแบบ P2P หรือการไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางในการส่งข้อมูล แถมยังปลอดภัยกว่า เชนนี้จึงได้ก่อตั้งในปี 2013 ในชื่อ Blockstack ร่วมกับเพื่อนอีกคนอย่าง Ryan Shea ทั้งคู่ทำหน้าที่เป็น co-CEO ของโปรเจกต์ จนกระทั่งปี 2018 Ryan ก็ลาออกไปทำธุรกิจอื่น

  • โดยแพลตฟอร์มนี้ในปี 2020 ที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนชื่อเป็น  Stacks จากเดิมที่เรียกว่า Blockstack เพื่อการแยกระบบนิเวศ และแยกโครงการโอเพ่นซอร์สออกจาก Blockstack PBC ที่เป็นบริษัทที่สร้างโปรโตคอลดั้งเดิม
  • สแต็คยังเป็นคริปโตเคอร์เรนซีตัวแรกๆ ที่มีคุณสมบัติ SEC สำหรับการขายในสหรัฐอเมริกา ทำให้ตัวเหรียญนี้สามารถเปิดตัวในการเสนอขายด้วยเงินสด และรวมเงินทุนได้กว่า 28 ล้านดอลลาร์สำหรับโทเค็น STX ในเดือนกรกฎาคม 2019

ที่มา: คริปโตสั้นๆ เหรียญ Stacks (STX) คืออะไร? [1]

กลไกการทำงานระบบ Consensus ของ เหรียญ สแต็ค

เหรียญดังกล่าว ใช้ระบบฉันทามติที่ต่างจากเหรียญอื่นๆ ไปเล็กน้อยเพื่อจุดประสงค์บางอย่างในการนำไปใช้งานกับบิตคอยน์ คือการใช้กลไกแบบ Proof-of-Transfer หรือ PoX ที่เป็นระบบคล้ายคลึงกับกลไกยอดนิยมอย่าง Proof-of-Stake อย่างการวางสินทรัพย์เป็นเหรียญประจำเครือข่ายนั้นไปค้ำประกัน เพื่อแลกกับค่าตอบแทนบางอย่าง ซึ่งจะมีผู้มีส่วนร่วมหลักๆ สองส่วน

Miners 

  • ผู้ใช้งานที่ได้รับสิทธิ์ในการเขียนบล็อกใหม่ ซึ่งในการสร้างบล็อกก็ไม่ได้ขุดเหมือนกับการขุด BTC เนื่องจากในแต่ละรอบการเขียนบล็อก แต่ละคนก็จะต้องเสนอมาเป็นเหรียญ BTC จากนั้นบล็อกเชนของสแต็ค จะรวบรวมรายชื่อ miner ไปสุ่มหาผู้ชนะในรอบนั้น 
  • โดยโอกาสที่จะชนะก็จะขึ้นกับปริมาณ BTC ที่ถูกเสนอ และผู้ชนะก็จะได้รับ STX เป็นค่าตอบแทนการเขียนบล็อก ด้วยกลไกนี้ บล็อกใหม่ของ STX  จึงจะเกิดขึ้นพร้อมกับบล็อกใหม่ของ BTC ไปเลย

Stackers 

  • เป็นผู้ที่ช่วยเสริมข้อมูลต่างๆ บนบล็อกเชนของสแต็คได้ โดยการจะเป็นตำแหน่งนี้ได้ จะต้องนำ STX ของตนเองมาล็อกไว้แบบการ Stake เลย โดยจะต้องล็อกเป็นระยะเวลา 10 วัน แลกกับส่วนแบ่งของ BTC ที่ miner เสนอมานั่นเอง โดยปริมาณ BTC ที่จะได้ ก็จะแปรผันตามปริมาณ STX ที่ล็อกเอาไว้อีกทีด้วย

ด้วยกลไกแบบนี้ สแต็คจึงสามารถเพิ่มคุณสมบัติด้านความปลอดภัยจากกลไกแบบ Proof-of-Work ของ Bitcoin เข้าไปช่วยในส่วนของการยืนยันความถูกต้อง แปลว่าในทุกๆ ธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชนของ Stacks มันก็จะสามารถตรวจสอบได้ในบล็อกเชนของบิตคอยน์ด้วยนั่นเอง

ที่มา:Stacks: Smart Contract บน Bitcoin [2]

ฟีเจอร์ของเหรียญ หรือคุณสมบัติที่หลากหลายของ สแต็ค 

โดยในฟีเจอร์ของเหรียญตัวนี้ ที่เป็นตัวกลางที่สามารถเพิ่มฟังก์ชันหนึ่งที่บิตคอยน์ไม่มี นั่นก็คือการตั้งโปรแกรมได้ หรือระบบสัญญาอัจฉริยะ อันนำไปสู่การทำงานในบรรดา Dapps ทั้งหลายได้ ให้เกิดธุรกรรมแบบซับซ้อนได้ อย่างการกู้ยืม การสร้าง NFT และอื่นๆ มากมาย โดย จากคุณสมบัติที่หลากหลายดังนี้

  • การดำเนินการด้วยสัญญาอัจฉริยะได้: ด้วยการเปิดใช้งานให้มีการดำเนินการสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนได้ มันจึงช่วยให้บิตคอยน์ เป็นเชนที่มีคุณสมบัติ Programable ให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ รวมถึงโปรโตคอลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ได้สบายๆ
  • ฉันทามติแบบ PoX: กลไกอันเป็นพื้นฐานของการดำเนินงาน โดยเป็นกลไกนี้เกี่ยวข้องกับผู้ถือโทเค็นสแต็คเพื่อสนับสนุนในความปลอดภัยของเครือข่าย และยังสามารถรับรางวัลเป็น Btc ได้
  • การจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล: เชนนี้อำนวยความสะดวกในการสร้าง และจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นเลเยอร์บนบิตคอยน์ สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้จึงสามารถเป็นตัวแทนของเอนทิตี อย่างชื่อผู้ใช้ เว็บไซต์ หรือโทเค็นที่ไม่สามารถทดแทนกันได้อย่าง NFT 
  • การกำกับดูแลเครือข่าย: ผู้ถือเหรียญนี้ ก็เช่นเดียวกับเหรียญอื่น 95% คือการมีสิทธิ์เข้าร่วมในการกำกับดูแลเครือข่ายโดยการลงคะแนนเสียง ในประเด็นของการอัปเกรด การเสนอ  และการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ทำให้ชุมชนมีความเป็นแบบกระจายอำนาจด้วย
  • ใช้เป็นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม: โทเคนดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในการทำธุรกรรมต่างบนเชนของสแต็ค  ซึ่งมันยังกระตุ้นให้เกิดการประมวลผลธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพ ให้มั่นใจว่าการทำงานของเครือข่ายจะราบรื่น

ที่มา: Stacks คืออะไร และจะซื้อโทเค็น STX ได้อย่างไร? [3]

ราคา STX เหรียญอันดับ 30 ของโลกที่มีความน่าสนใจ 

ในส่วนของราคา เหรียญนี้ก็ไม่ได้มีความโดยเด่นมากนัก ในด้านของการรักษามูลค่า หรือเพิ่มมูลค่าเหมือนบิตคอยน์ ซึ่งก็ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง และยังไม่ผันผวนแรงเท่ากับเหรียญอื่นๆ ซึ่งราคาในปัจจุบันอ้างอิงจากเว็บไซต์ Coinmarketcap ก็มีราคาอยู่ที่ 1.42 ดอลลาร์ หรือประมาณ 49.89 บาทต่อเหรียญเท่านั้น โดยรายละเอียดอื่นๆ ก็มีดังนี้

  • มูลค่าตามตลาดรวม: 2.1 พันล้านดอลลาร์
  • มูลค่าของตลาด 24 ชั่วโมง: 85.84 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
  • Supply หรือจำนวนเหรียญที่หมุนเวียนในระบบ: 1.48 พันล้านโทเคน
  • Max Supply: 1.82 พันล้านโทเคน

เข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับราคาเพิ่มเติมที่ coinmarketcap

การอัปเกรดที่น่าสนใจของ เหรียญ สแต็ค เวอร์ชั่น 2.1

บล็อกเชนดังกล่าวนี้ก็เพิ่งมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ไป โดยมีการตั้งชื่อเวอร์ชันว่า Stacks 2.1 ซึ่งก็เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมต่อกับบล็อกเชนอื่นๆ ด้วยฟังก์ชัน bridges และเพิ่มการอำนวยความสะดวกในธุรกรรมข้ามบล็อกเชนไปด้วย ซึ่งการอัปเกรดที่น่าสนใจก็จะมีหลักๆ ดังต่อไปนี้

  • Continuous Stacking โดยในเวอร์ชันก่อนหน้า ถ้าหาก stackers มีการล็อกเหรียญไว้ในรอบการเขียนบล็อกหนึ่งรอบ ซึ่งหลังจากมีการเขียนบล็อกเสร็จสิ้น ก็จะมีการ cooldown ให้เหรียญไม่สามารถนำมาใช้ล็อกสำหรับรอบการเขียนบล็อกถัดไปได้ช่วงหนึ่ง และในเวอร์ชัน 2.1 จึงเป็นแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้สามารถล็อก STX ได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหา cooldown เลย
  • การซัพพอร์ตระบบ SegWit และ Taproot เป็นการอัปเกรดแบบ soft fork จากเชนของบิตคอยน์ จะเป็นการลดขนาดของข้อมูลของแต่ละธุรกรรมลง  ให้มีความสามารถในการทำธุรกรรมได้สูงขึ้น และยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจากระบบ Taproot ที่ลดพื้นที่ที่จำเป็นสำหรับการเก็บข้อมูล การอัปเกรดนี้มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าธรรมเนียมได้

ที่มา:Stacks: Smart Contract บน Bitcoin [2]

ราคาที่เติบโต 195% หลังเปิดตัว DeFi บนเครือข่าย Bitcoin

โดยปกติของผู้ใช้งาน หรือผู้พัฒนาแอป Defi ต่างๆ ของวงการคริปโตก็ล้วนทราบกันดีว่า Ethereum คือเป็นผู้นำในด้าน ตัวเลือกการทำสัญญาแบบ Smart contract ซึ่งการมาของสแต็คที่สามารถเขียนโปรแกรมอันซับซ้อน หรือทำสัญญาอัจฉริยะลงไปในเหรียญอันดับ 1 อย่างบิตคอยน์ได้ จึงดึงดูดความสนใจของนักพัฒนาได้พอสมควร ในช่วงปี 2021 ที่ผ่านมา

มันจึงส่งผลให้ราคาสแต็คปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่า 195% ไปอยู่ที่ $1.47 ในวันที่กลางปี 2021 ที่มีการออกโปรเจกต์ DeFi บนเครือข่ายบิตคอยน์ได้ และทางเหรียญบิตคอยน์เองในช่วงนั้น ก็เริ่มแสดงโมเมนตัมของขาขึ้น STX จึงขยับตัวเพิ่มขึ้นไปอีกกว่า 10% ซึ่งในอนาคตหลังการอัปเกรดนี้ อาจต้องจับตาดูโปรเจกต์ใหม่ๆ ในเหรียญอื่นๆ ด้วย อาจทำให้มีราคาที่สูงขึ้นอีก [4]

สรุป เหรียญ สแต็ค ที่เพิ่มฟังก์ชัน Smart contract ให้บิตคอยน์

เหรียญ สแต็ค

เชนในฐานะเลเยอร์ Bitcoin ที่เข้ามาช่วยในเรื่องของความสามารถในการปรับขนาด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการใช้เทคโนโลยี Smart contract ให้ตัวบิตคอยน์ หรือเหรียญอื่นในเลเยอร์เดียวกัน กลายเป็นสินทรัพย์ที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเดิมที่แข็งแกร่งอยู่แล้วเลย

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง