เหรียญ ริปเปอร์ (Ripple) หรือ XRP เป็นเหรียญที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนได้ดี ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ เหรียญ ส่งต่อมูลค่า ซึ่งเป็นคริปโตที่มีความรวมศูนย์ของบริษัทเดียว แต่จะสามารถเปิดเผยข้อมูลธุรกรรมได้ เหรียญนี้มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งต่อมูลค่าระหว่างบุคคลต่างๆ และธนาคารในเครือผ่าน เชนของตัวเอง ที่เรียกว่า Ripple Network ได้สะดวกและรวดเร็วสุดๆ
เหรียญนี้ก่อตั้งขึ้นมาเป็นบริษัทหนึ่งก่อนที่ชื่อว่า OpenCoin โดย Chris Larsen และ Jed McCalebในปี 2012 ก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นบริษัทในชื่อใหม่ที่เรียกว่า Ripple แบบทุกวันนี้ตั้งแต่ปี 2015 โดยตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างระบบโปรโตคอลสำหรับโอน และชำระเงินออนไลน์ระหว่างประเทศได้รวดเร็ว และสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้แบบไม่ยุ่งยาก แถมยังมีค่าธรรมเนียมที่ถูกมากๆ ด้วย
โดย Pain point สำคัญของการทำธุรกรรมระหว่างประเทศของเหรียญนี้คือการลด การใช้เวลาที่นาน และตัดเอกสารทางกฎหมายที่เป็นปัญหายุ่งยากออกไปได้เลย และก็ได้ออกเหรียญที่มีชื่อโดดออกไปอย่างเอกซ์อาร์พี ในการใช้เป็นตัวแลกเปลี่ยนเงินได้แบบรวดเร็ว มันจึงถูกใช้เป็นเหรียญส่งต่อมูลค่าได้ดีกว่าผ่านระบบดั้งเดิมเสียอีก [1]
หัวข้อนี้จะเป็นการพูดถึงผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วจะส่งผลต่อราคาเหรียญนี้ ซึ่งเหรียญนี้ก็มีปัจจัยต่างๆ ที่มันส่งผลต่อราคาโดยตรงกับเหรียญในบล็อกเชน Ripple ที่นักลงทุนหลายคนต้องควรจับตามองอย่างระมัดระวัง เพื่อจับสัญญาณเป็นแนวทางการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายนอก
ที่มา: อนาคตเหรียญ Ripple (XRP) จะเป็นอย่างไร? [1]
สำหรับรายละเอียดด้านจุดเด่น ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของเหรียญนี้ อย่างการออกแบบมาเพื่อการใช้ชำระเงิน แลกเปลี่ยนสกุลเงินจริงด้วยค่าธรรมเนียมที่ถูก หรือการใช้งานต่างๆ ทั้งด้านพลังงาน และเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ซึ่งจุดเด่นต่างๆ ของเหรียญดังกล่าวก็มีตั้งนี้
ในการสร้างเหรียญนี้ด้วยการขุดที่ใช้แบบ PoS หรือ Proof of stake มันจึงมีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับ เหรียญคริปโตมีการใช้ระบบฉันทามติอย่าง Proof of Work (PoW) ซึ่งเหรียญนี้ยังมีการ Staking ที่เป็นระบบฉันทามติเฉพาะตัวเรียกว่า Ripple Protocol Consensus Algorithm ซึ่งตรวจสอบโดยทีมงานของตัวเอง และธนาคารที่เกี่ยวข้อง โดยผู้ใช้ก็สามารถฝากเพื่อช่วย Stake ได้
โดยสถิติการใช้พลังงานกับเหรียญอื่นๆ ริปเปอร์ยังใช้พลังงานที่ถูกมาก อย่าง Bitcoin และ Ethereum ในปี 2019 ก็ใช้อยู่ที่ 57.09 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และอีเธอเรียมใช้ 2.57 พันล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ส่วน ริปเปอร์ใช้เพียงแค่ 4.74 แสนกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
เทคโนโลยีของเหรียญนี้ จะเป็นการทำธุรกรรมด้วยความเร็วที่โดดเด่น พร้อมกับค่าธรรมเนียมที่ถูกมากๆ ซึ่งทางบริษัทที่พัฒนาเหรียญ ยังพยายามเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้เร็วขึ้น อย่างการเสริมฟังก์ชันร่วมกับสัญญาอัจฉริยะ ผ่าน XRP Ledger ที่กำลังพัฒนาอยู่
ที่มา: XRP คืออะไร [2]
สำหรับราคาเหรียญตัวนี้ ปัจจุบันก็มีราคาไม่ถึง 1 ดอลลาร์ โดยมูลค่าในตลาดของเหรียญนี้ก็ยังมีมากพอสมควรโดยอยู่ที่อันดับที่ 7 เลยทีเดียว ถึงแม้ราคาจะไม่ถึง 1 ดอลลาร์ก็ตาม ซึ่งราคา ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2024 ก็อยู่ที่ประมาณ 0.436 ดอลลาร์หรือราวเหรียญละ 15.90 บาท เท่านั้น พร้อมรายละเอียดสำคัญของเหรียญดังนี้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ coinmarketcap
ด้วยความเป็นเหรียญที่ส่งต่อมูลค่าได้ดี และเร็วกว่าการเงินแบบเดิมมาก โดยเหรียญนี้ยังมีข้อถกเถียงกันมากพอตัว จากแนวคิดไม่สอดคล้องกับคนในวงการคริปโต คือการควบคุมการตรวจสอบธุรกรรม และมีพันธมิตรเป็นธนาคารมาเข้าร่วมใช้งาน แต่ก็ยังมีจำนวนการใช้ที่มากอยู่ดี หัวข้อนี้จึงเป็นการรวมข้อดีและข้อเสียต่างๆ ของเหรียญนี้เลย
ข้อดี
ข้อเสีย
ที่มา: เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และอัปเดตศักยภาพของ Cryptocurrencies BTC, BCH, ETH, และ XRP [3]
โดยริปเปอร์เป็นชื่อหนึ่งของบริษัทนี้ และเป็นชื่อแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นสำหรับการชำระเงินระหว่างสถาบันการเงินต่างๆ ที่ปรับมาใช้ธุรกรรมแบบ P2P (Peer-to-Peer) และมีเหรียญของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า XRP เป็นสื่อในการทำธุรกรรมและแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินได้ ดังนั้น เอกซ์อาร์พีก็คือชื่อเหรียญ ของริปเปอร์นั่นเอง
เหรียญ XRP จึงถือว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่สร้างเพื่อเป็นตัวส่งต่อมูลค่า และตัวกลางสำหรับการทำธุรกรรม ที่ แก้ปัญหาเรื่องความล่าช้า พร้อมกับค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าแบบเดิมมาก [4]
เหรียญที่เคยอยู่ Top 3 ของโลกคริปโตในด้านของมูลค่าในช่วงที่เหรียญ Hype แบบสุดๆ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับ 7 ของโลกคริปโต ถึงแม้จะมีราคาต่อเหรียญที่ไม่สูงก็ตาม ซึ่งเป็นเหรียญที่มีไว้สำหรับโอนเงินของสกุลนั้นไปอีกสกุลหนึ่งได้ และในการเงินระหว่างประเทศได้ดีสุดๆ