เหรียญ นีโอ (Neo) โทเคนที่สร้างขึ้นมาจากประเทศมหาอำนาจที่ต่อต้านการกระจายอำนาจ และไม่ปลื้มบิตคอยน์ โดยเหรียญนี้เป็น เหรียญ สมาร์ทคอนแทกต์ ที่เรียกตัวเองว่าคู่แข่งของ Ethereum โดยเป็นเชนที่เปิดให้มีการเข้ามาสร้างแอปพลิเคชั่นการเงินแบบกระจายศูนย์ ได้อย่างอิสระ หรือแบบ open-source ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเขียน smart contract โดยเฉพาะ
นีโอเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว โดยเกิดขึ้นมาจากการก่อตั้งบริษัท AntShares ในประเทศจีน ที่ร่วมกันพัฒนาและบริหารร่วมกันของ Da Hongfei และ Erik Zhang ก่อนที่จะเปิดใช้งานแบบ mainnet เป็นครั้งแรกในปี 2016 จากนั้นในปี 2017 เชนหลักนี้ก็มีการเพิ่มฟีเจอร์ smart contract เข้าไป และเปลี่ยนชื่อจาก AntShares เป็น NEO ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยในโร้ดแมพของเครือข่ายนี้ในปัจจุบันบล็อกเชนของนีโอ ก็ดำเนินมาถึงเวอร์ชัน 3 หรือที่เรียกว่า N3 การอัปเกรดการทำงานที่มีความก้าวหน้า และผนวกกับเทคโนโลยีอื่นๆ มากที่สุดแล้ว และในปัจจุบันตั้งแต่ปี 2021 การพัฒนาของเครือข่ายนีโอก็อยู่ภายใต้การดูแลของ Neo Foundation โดยตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ [1]
โดยทางนีโอเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจของอนาคตจะแตกต่างไปจากเดิมในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ซึ่งทุกอย่างจะสามารถทำงานบนบล็อกเชน ซึ่งทุกธุรกรรมจะถูกบังคับใช้ Smart Contract มันจึงการโกงที่น้อยโปร่งใส และตรวจสอบได้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติเมื่อเงื่อนไขของทางสองฝ่ายครบ ไม่ต้องเปลืองกระดาษทำสัญญา ไม่ต้องมีศาลมา หรือต้องจ้างทนายเมื่อเกิดข้อพิพาท ซึ่งก็มีระบบต่างๆ เข้ามาช่วยมากมาย
กลไกการทำงาน หรือระบบฉันทามติของนีโอมีชื่อว่า Delegated Byzantine Fault Tolerance โดยถูกอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 2.0 แล้วในปัจจุบัน ซึ่งถูกออกแบบมาให้ผู้ตรวจสอบภายในบล็อกเชน ก่อนทำการตรวจสอบจะต้องยอมรับธุรกรรมอย่างน้อย 2/3 ของจำนวนผู้ตรวจสอบทั้งหมดด้วย ธุรกรรมดังกล่าวก็จะถูกเขียนลงบนบล็อกใหม่ของแต่ละบล็อก
ที่มา: Neo: บล็อกเชนแดนมังกร [1]
ในส่วนของราคาเหรียญนี้ก็มีราคาที่ไม่ได้สูง และต่ำมาก โดยราคาในวันที่เขียนบทความนี้ หรือวันที่ 9 สิงหาคม 2024 ราคาของมันก็อยู่ที่ 9.56 ดอลลาร์หรือราวๆ 337.16 บาท อ้างอิงจากเว็บรายงานราคา และลำดับ coinmarketcap ซึ่งเหรียญนี้ก็เคยพุ่งขึ้นมาที่อันดับ 12 ในช่วงปลายปี 2021 ก่อนจะร่วงลงไปที่อันดับ 80 กว่าๆ
เข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับราคาเพิ่มเติมที่ coinmarketcap
กระบวนการทำงานของนีโอ อย่างที่บอกไปว่าจะมีความแตกต่างจาก Bitcoin ที่ใช้ระบบฉันทามติที่เรียกว่า Proof-of-work และต่างจาก Ethereum ที่เปลี่ยนมาเป็นแบบ Proof-of-stake ซึ่งในวิธีการ Proof หรือตรวจสอบความถูกต้องของเชนนีโอ จะเรียกว่า Delegated Byzantine Fault Tolerant (dBFT) ซึ่งทางผู้พัฒนาเขายืนยันว่า รวดเร็ว และ ปลอดภัย และมีการแบ่ง Node ออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
ที่มา: NEO คืออะไร ? ใช่ New Ethereum of China จริงหรอ ? [3]
ในระบบการทำงานที่เรียกว่า dBFT หรือ Delegated Byzantine Fault Tolerant ที่ระบุไปข้างต้น แต่ในการจะเป็น Node แต่ละตัวได้นั้น ก็จะมีเงื่อนไขบางอย่าง อย่างผู้ใช้คนนั้นๆ ต้องมีเหรียญที่เอาเป็นค่า GAS อย่างน้อย 1000 GAS และต้องมี Certificate ที่ออกในประเทศจีนเท่านั้น การจะเป็นผู้ตรวจสอบหรือ Bookkeeping Node ใช่ว่าใครๆ จะเปิดกันง่าย ๆ
โครงสร้างดังกล่าวนี้ มันจึงทำให้สิทธิ์ในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับโปรเจกต์ จะอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใช้งานไม่กี่คนเท่านั้น อย่างทีมพัฒนา และผู้ใช้ที่มีค่า Gas ตามกำหนด ถึงแม้ว่าทั้งแต่ละ Nodes จะถูกเลือกด้วยเสียงโหวตจากผู้ใช้งานทุกคน แต่ถ้าหากเทียบกับรูปแบบโครงสร้าง Governance Token ของคริปโตตัวอื่นแล้ว โครงสร้างของนี้ก็ถือว่ามีความรวมศูนย์เยอะที่สุด [1]
เหรียญที่กำเนิดมาจากจีน และเป็นเครือข่ายที่มีโครงสร้างที่ค่อนข้างรวมศูนย์ หรือ Centralized ค่อนข้างสูง ในฐานะเชนแบบ Open-source ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเขียนแอปการเงินแบบกระจายศูนย์แบบเดียวกับอีเธอเรียม ซึ่งมีการตรวจสอบที่ต่างออกไปจากเหรียญอื่น