ลงทุน Binance การสร้างกำไรโดยการนำเหรียญต่างๆ ที่ซื้อไว้ไปเพิ่มมูลค่าด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ของแอป หรือ แพลตฟอร์มในการเทรด และทำกำไรจาก Defi ในบทความนี้จึงจะมากล่าวถึง การสร้างเงินในแพลตฟอร์มนี้แบบ Passive ดังนั้นจึงควรไปรู้จักกับแพลตฟอร์มนี้ และเข้าใจความหมายของ Passive income ก่อนจะไปดูวิธีการใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ทำเงิน
แพลตฟอร์มอันดับหนึ่งอย่าง Binance ด้วยการครองมาร์เก็ตแชร์เพิ่มถึง 49% [1] ในการสรุปปี 2023 ที่ผ่านมาจากบริษัทวิจัยคริปโท Kaiko หลังจากวันที่ 21 พฤศจิกาที่ผ่านมา แถมมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 40 ล้านไปแตะ 170 ล้านรายแล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นมาถึง 30% ทำให้มีสภาพคล่องสูงมากที่สุด และอีกสาเหตุที่ต้องมาลงทุนก็เพราะแพลตฟอร์มนี้มีเหรียญหลากหลายที่สุด และมีฟีเจอร์การฝากที่เยอะมากๆ
ซึ่งในฟีเจอร์ต่างๆ ของ Binance ก็มีความหลากหลายอย่างมาก ทั้งการนำเงินไป Stake ไว้ได้ และยังมีการฝากเหรียญคู่แบบ Dual investment หรือจะเป็นการฝากเหรียญไว้ใน Pool เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ลงทุนกับ Startup ที่จะจ่ายเป็น Token ให้เราด้วย
รายได้ที่จะได้มาจากธุรกิจ หรือทุนที่เราลงไปตอนแรก แล้วได้กลับมาเรื่อยๆ เป็นกำไรโดยมีเงินต้นไว้อยู่ ซึ่งก็เป็นวิธีที่จะนำมาใช้กับการ ลงทุน Binance ที่ใช้เหรียญคริปโตเข้าไปลงทุนในฟีเจอร์ต่างๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งก็จะมีสิ่งตรงข้ามกันคือการทำแบบ Active บทความนี้จึงมาเทียบความแตกแต่งของ การทำรายได้ทั้งสองแบบทั้ง Active และ Passive
Active Income
Passive Income
ที่มา : Passive Income คืออะไร?: รวมสุดยอดไอเดียสร้าง Passive Income ผ่านการลงทุน [2]
ฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างรายได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินต้น และไม่ต้องไปเทรดเก็งกำไรกับความเสี่ยงที่สูงๆ โดยฟีเจอร์เหล่านี้ใช้ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย แต่อย่างน้อยก็มีน้อยกว่าการเก็งกำไร และบางฟีเจอร์ก็ดีกว่าถือไว้เปล่าๆ ด้วย ซึ่งการทำกำไรนั้นก็มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนเหรียญ การตรวจสอบเหรียญ ปล่อยกู้ รวมไปถึงลงทุนกับ Startup หน้าใหม่ ซึ่งฟีเจอร์ที่จะมาแนะนำก็มีดังนี้
Yeild Farming
การฝากเงินและรับผลผลิตเป็นดอกเบี้ยแบบใหม่ ที่มีผลตอบแทนสูงมากถึง 10% เลยทีเดียว เพียงมี Stable Coin หรือ Support Coin ก็สามารถเลือกฝากเหรียญได้แล้วทั้งแบบ Flexible และ Locked อย่างการล็อก BTC ไว้ที่ดอกเบี้ย 6% เงิน 10,000 บาท ก็จะได้ต่อปีที่ 600 ต่อเดือนที่ 50 ซึ่งหากจะรับรายได้วันละ 300 ก็ต้องสะสมไปให้มีทุนถึง 500,000 บาท ก็จะได้ เมื่อเทียบกับธนาคารที่ดอก 1.5% ต้องใช้เป็นสิบๆ ล้าน
LaunchPool
การลงทุนในโปรเจกต์ ICO หรือ IDO ให้บรรดา Startup ยุคใหม่ที่มีนวัตกรรมที่น่าสนใจมายืมพื้นที่ในการนำเสนอนวัตกรรม เพื่อให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนได้โดยใช้เหรียญ Stable โดยผู้ลงทุนก็จะได้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นออกมาใช้หาครบกำหนดที่ล็อกไว้ โดยผลตอบแทนจะอยู่ที่ 8-20% ซึ่งหากจะได้ผลตอบแทนแบบแพสซีฟที่ 12% วันละ 300 บาทก็ต้องใช้เงินที่ 250,000 เท่านั้น
Locked Staking
การเก็บทุนไว้ในกระเป๋าคริปโตเพื่อให้ แพลตฟอร์มนั้นๆ นำไปค้ำเพื่อรอรับการตรวจสอบธุรกรรมในเครือข่ายบล็อกเชน ซึ่งผู้ที่ล็อกไว้ก็จะไม่สามารถเอาเหรียญออกมาใช้ได้ ระยะเวลาก็จะมี 15 วัน, 30 วัน, 60 วัน, 90 วัน ผลตอบแทนก็จะอยู่ที่ 17-70% เลย ในกรณีของการจะทำรายได้ 300 บาทต่อวันโดยจะสุ่มคิดผลตอบแทนระหว่าง 17-70% ที่ 20% ก็จะต้องใช้เงินเพียงแค่ 150,000 บาทเท่านั้นเอง
ที่มา : สมัคร binance สอนหาเงิน passive income วันละ 1,000 (2024) [3]
การลงทุนจากโลกยุคใหม่กับเหรียญที่มาความผันผวนสูง ซึ่งเราสามารถหลีกหนีความเสี่ยงนั้นไป โดยไม่ต้องเก็งกำไร เพียงแค่ฝากในการสร้างเหรียญอย่าง Locked Staking หรือลงทุนแบบหุ้นโดยระยะเหรียญไว้ได้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แถมบางตัวยังมีผลตอบแทนที่สูงมากอีกด้วย
