เหรียญ ส่งต่อมูลค่า (Value Transfer) คือเหรียญที่ถูกออกแบบมา เพื่อการทำอย่างการทำธุรกรรมของเหรียญต่างๆ ที่ยังเร็วไม่พอ เพราะติดในเรื่องการปรับขนาด และมีค่าแก๊ส หรือค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ามาก ซึ่งยิ่งเป็นการโอนเงินข้ามประเทศ หรือการแปลงสกุลเงิน ที่รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำ โดยมีทั้งการใช้เพื่อเชื่อมต่อระบบการเงินของธนาคาร และการใช้เครือข่ายของตนเอง
ระบบของการถ่ายโอนมูลค่า ก็เป็นระบบที่มีมานานแล้ว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการทำมูลค่าเทียบเท่าที่ชำระให้แก่สองฝ่าย ถึงแม้จะมีสกุลเงินไม่ตรงกันก็ตาม อย่างการถ่ายโอนมูลค่าของสกุลเงินต่างๆ ที่เอาไว้โอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งก็จะใช้เป็น Swift ที่ใช้กันอยู่ซึ่งจะใช้เวลาตั้งแต่ 1-3 วัน และมีค่าธรรมเนียมให้กับตัวกลาง [1]
ซึ่งเหรียญกลุ่มนี้ก็ออกมาเพื่อทำให้ การโอนเร็วขึ้นเพียงหลักวินาที ซึ่งอาจคล้ายๆ กับ เหรียญกลุ่ม Smart Contract และต่างกับ เหรียญ กลุ่มรักษามูลค่า พร้อมกับค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ามาก เพราะเป็นธุรกรรมเป็นการโอนระหว่าง 2 ฝ่ายคือผู้โอน และผู้รับ ไม่ต้องมีตัวกลางอย่างธนาคารหรือบริษัทการเงินทั่วไป มีเพียงค่า Gas ที่จะเป็นในส่วนของค่าธรรมเนียมให้กับผู้ตรวจสอบเครือข่าย ซึ่งเหรียญในกลุ่มนี้ก็จะมีค่าแก๊สที่ถูกมากที่สุด
เหรียญ ริปเปอร์ (Ripple) คือเหรียญที่เป็นชื่อของบริษัทร่วมทุนจากซานฟรานซิสโก ซึ่งได้มีการออกโทเคนขึ้นมา เพื่อการชำระเงินที่ใช้ Blockchain เป็นฐานในการตรวจสอบ และจัดเก็บข้อมูลได้ โดยมีโทเคนนี้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของมูลค่าของเงินที่นำมาเปลี่ยนเป็นริปเปอร์ และสามารถดำเนินธุรกรรมได้เลย ซึ่งก็มีรายละเอียดดังนี้
ที่มา: Ripple คืออะไร และเหรียญ XRP คืออะไร : น่าลงทุนไหม? [2]
เหรียญ สเตล่า (Stellar) หรืออีกชื่อหนึ่ง Lumen คือสกุลเงินดิจิทัลที่มีเครือข่ายบล็อกเชนเป็นของตัวเอง ซึ่งออกเหรียญมาเพื่อใช้งานเป็นค่าแก๊สในการส่งต่อมูลค่าของเงินด้วยเหรียญคริปโตจากสกุลเงินต่างๆ ไปหาใครก็ได้ โดยผู้ใช้งานโทเคนนี้ก็เปรียบเสมือนเจ้าของร่วมกันในเครือข่าย การทำงานของเหรียญนี้จึงมีความกระจายอำนาจสูงมาก ซึ่งก็มีรายละเอียดที่ต่างจากเหรียญแรกดังนี้
ที่มา: Stellar (XLM) คืออะไร? [3]
ด้วยการเป็นเหรียญรุ่นใหม่ ที่ออกมาหลังจากอีเธอเรียม และออกมาในช่วงการเรียกร้องเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่เยอะเกินไปในการขุด แบบที่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์ ระบบในการขุดส่วนใหญ่ของเหรียญกลุ่มนี้ จึงเป็นแบบ PoS (Proof of stake) และ PoA (Proof of Authority) หรือจะเป็น 2 แบบข้างต้น ทั้งหมดเลย โดยทั้งสองระบบยอดนิยมก็มีการทำงานดังนี้
ที่มา: Proof of Authority คืออะไร? สำคัญอย่างไร? [4]
โดยเหรียญตัวอย่างที่สองนี้ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือเพื่อการโอนมูลค่าที่รวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมที่ถูก ซึ่งทั้งสองเหรียญนี้ก็จะมีจุดเด่นต่างๆ ที่จะมีความโดดเด่นในตัวของมันเอง ในฐานะเหรียญส่งต่อมูลค่า ซึ่งจุดเด่นหลักๆ ของ Stellar ก็คือการมีระบบการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งจะมีการกระจายอำนาจที่สูงมาก
ในขณะที่เหรียญ Ripple จะมีการตรวจสอบที่ต่างกันคือ จะใช้กลุ่มคนที่ถูกคัดเลือกของทางเชน และสถาบันที่เกี่ยวข้องกันเหรียญนี้ มันจึงเป็นเหรียญที่มีการรวมศูนย์ หรือ centralize สูงในวงการที่ต้องการกระจายอำนาจมากกว่า แต่วิธีนี้ก็ช่วยให้ระบบธุรกรรมที่เร็วมากอยู่ที่เฉลี่ย 1,500 ธุรกรรมต่อวินาที และเหรียญสเตล่าอยู่ประมาณ 5 วินาทีต่อธุรกรรม
โดยเหรียญกลุ่มนี้นอกจากจะใช้ได้ดี ในการโอนเงินข้ามพรมแดนโดยใช้แค่ระบบอินเทอร์เน็ต และมีความรวดเร็วของเวลาทำธุรกรรมแล้ว ยังมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่ถูกมากๆ อีกด้วย โดยเหรียญกลุ่มนี้ยังมีจุดสำคัญอีกอย่างที่ไม่เหมือนกับเหรียญทั่วไปที่คำนึงถึงมูลค่าของเหรียญอยู่ตลอดเวลา ก็คือเป็นเหรียญที่ไม่สนใจเรื่องของมูลค่า
เหรียญในกลุ่มที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางแทนธนาคารกลาง หรือพาณิชย์ต่างๆ ที่มีราคาค่าธรรมเนียมสูง และใช้เวลานานมากๆ ในการโอนแบบเก่าดั้งเดิม คริปโตกลุ่มนี้จึงเป็นตัวส่งมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ โดยใช้เวลา และลดมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ ได้น้อยมากที่สุด หรือผู้รับจะได้มูลค่าเกือบ 100% เลย